Search This Blog

Monday, June 24, 2013

เวชกรรมไทย เล่ม 2 (ระบบทางเดินปัสสาวะ) คัมภึร์มุจฉาปักขันทิกา

เวชกรรมไทย เล่ม 2
(ระบบทางเดินปัสสาวะ)
คัมภึร์มุจฉาปักขันทิกา




จัดทำโดย อ.หมอสุชาติ ภูวรัตน์
นธ.เอกบาลีประโยค 1-2
(อดีตพระธรรมทูตต่างประเทศ)
B.S. Engineering Design Tech.
 B.A. ศาสนศาสตร์บัณฑิต
B.S. Computer Information Systems
B.TM.  พทย์แผนไทยบัณฑิต
สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
บ.ภ.พท.ว.พท.ผ.พท.น.
ครูแพทย์แผนไทย 4 ด้าน
ศูนย์การแพทย์แผนไทยภูเก็ต
ทำเพื่อการศึกษาและประโยชน์แก่ผู้ชม

เวชกรรมไทย เล่ม 2
(ระบบทางเดินปัสสาวะ)
คัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา



คัมภีร์นี้กล่าวถึง ทุรวสา 32 จำพวก คือ

ทุราวสา 12 จำพวก 
และปะระเมหะ 20 จำพวก

ทุรวสา 12 จำพวก
แบ่งออกเป็น

  • ทุรวสา  4 จำพวก
  • มุตฆาต 4 จำพวก
  • มุตกิด   4 จำพวก
ปะระเมหะ 20 จำพวก แบ่งออกเป็น 
  • สัณฑะฆาต 4 จำพวก
  • อังคสูตร 4 จำพวก
  • ช้ำรั่ว 4 จำพวก
  • อุปทม (อุปทังสโรค) 4 จำพวก
  • ไส้ด้วน 4 จำพวก
อาการ และอาการแสดง

ทุรวสา มี 4 จำพวก (น้ำปัสสาวะชั่ว) ดังนี้
1. ปัสสาวะออกมาเป็น สีขาว ขุ่นดังน้ำข้าวเช็ด
2. ปัสสาวะออกมาเป็น สีเหลือง ดังน้ำขมิ้นสด
3. ปัสสาวะออกมาเป็น โลหิตสดๆ แดงดังน้ำฝางต้ม
4. ปัสสาวะออกมาเป็น สีดำ ดังน้ำคราม ( น้ำครำ)


       อาการ ให้ปวดหัวเหน่า ให้แสบองคชาต 
ให้สะบัดร้อนสะบัดหนาว เป็นไปต่างๆ

มุตฆาต มี 4 จำพวก ดังนี้

1. ปัสสาวะออกมาแดงขุ่นข้น 
    ให้ปวดขัดเจ็บเสียวเป็นกำลัง
2. ปัสสาวะออกมาแดง ขุ่นข้น 
    เป็นโลหิตช้ำปนโลหิตสด
3. ปัสสาวะออกมาแดงขุ่นข้น 
    เป็นหนองช้ำขุ่นข้น
4. ปัสสาวะออกมาแดงขุ่นข้น 
    เป็นสีดำดุจดังน้ำคราม ( น้ำครำ)

        อาการ เกิดด้วยกระทบชอกช้ำ 
จึงสำแดงโทษ ให้ขัดสองราวข้าง เส้นปัตคาต 
ให้เสียด แทงในอก เคลื่อนกายไม่สะดวก 
บริโภคอาหารมิได้ ให้อาเจียนลมเปล่า เป็นต้น

มุตกิจ มี 4 จำพวก ดังนี้

1. ปัสสาวะออกมาดุจโลหิตช้ำ และ
    ดังน้ำปลาเน่า
2. ปัสสาวะออกมาเป็นโลหิตจาง 
    ดุจน้ำชานหมาก
3. ปัสสาวะออกมาเป็นน้ำหนองจางๆ 
    ดุจน้ำซาวข้าว
4. ปัสสาวะออกมาเป็นเมือกคล่องๆ ขัดๆ 
    หยดย้อย ดุจน้ำมูกไหลเลือกออกมา

        อาการ กระทำให้เจ็บ ให้ขัด
ไหลหยดย้อยออกมา แล้วให้ปวดหัวเหน่า 
ข้อตะโพก แสบในอก บริโภค อาหารไม่รู้รส 
ทั้งนี้เกิด เพื่อโลหิตช้ำ



สัณฑะฆาต มี 4 จำพวก ดังนี้

1. สัณฑฆาต เกิดเพื่อโลหิตแห้ง 
ถ้าบังเกิดแก่สตรี ว่าด้วยโลหิตเดินมิสะดวก 
คุมกันเป็นก้อน ประมาณเท่าฟองไข่
ติดกระดูกสันหลังข้างใน มักให้เจ็บหลังบิดตัว 
ให้จุกแน่น หน้าอก ดังจะขาดใจ 
ถ้าบุรุษว่าด้วยไข้อันถึงพิฆาต คือตกต้นไม้ 
ถูกทุบถองโบยตีสาหัส พิการช้ำในอก 
โลหิตจึงเกาะกันเป็นก้อนดาน กระทำให้ร้อน 
เสียดแน่นยอกสันหลัง มีประเภทต่างๆ
เป็น อสาทิยาโรค ( อสัณฑฆาต)

2. สัณฑฆาต เกิดเพื่อกาฬ เกิดขึ้นภายใน 
ดี ตับ ปอด และหัวใจ บังเกิดสัณฐานดุจ
เม็ดข้าวสารหัก บางทีขึ้นในไส้อ่อน ไส้แก่ 
    ถ้าขึ้นดี ให้คลั้งเพ้อ ถ้าขึ้นตับ ให้ตับหย่อน 
ให้ตกโลหิตมีอาการดุจปีศาจเข้าสิง 
    ถ้าขึ้นในปอด ให้กระหายน้ำ 
    ถ้าขึ้นในหัวใจ ให้นิ่งไป เจรจามิได้ 
    ถ้าขึ้นในไส้อ่อน ไส้แก่ ให้จุกโลหิต 
ท้องขึ้น ท้องพอง ดังมานกระษัย 
    ถ้าเป็นดังกล่างมานี้ กำหนด 7-8-9 วัน 
โลหิตจะแตกออกในทวารทั้ง 9 เรียกว่า 
รัตตปิตตโรค เป็นต้น แห่ง สัณฑฆาต 
เป็นอติสัยโรค (ตรีสัณฑฆาต)

3. สัณฑฆาต เกิดเพื่อปัตคาด บังเกิด
มีอาการกระทำให้ท้องผูก เป็นพรรดึก 
และให้เลือดแห้ง แล้วจึงบังเกิดวาโยกล้า
พัดโลหิตให้เป็นก้อนเข้าอยู่ในอุทร 
ให้เจ็บไปทั่วสรรพางค์กาย เมื่อยบั่นเอว
 และมือเท้า ตาย ให้ขบขัดเบาและตะโพก 
ให้ท้องขึ้นและตึงลงในทวารเบา 
บริโภคอาหารไม่มีรส ให้ปากเปื่อยเสียงแหบแห้ง 
เวียนศีรษะอยู่เป็นนิจ น้ำตาไหล และตามืด หูตึง 
เมื่อจะเป็นให้มึนตึงตัว ไม่อยากรับประทานอาหาร 
บางคราวให้ร้อน บางคราวให้หนาว 
บางครั้งให้อยากเปรี้ยว อยากหวาน 
โทษทั้งสิ้นนี้ เกิดเพื่อปัตคาตให้โทษ (โทสัณฑฆาต)

4. สัณฑฆาต เกิดเพื่อกล่อนแห้ง
 
บังเกิดมีอาการกระทำให้เจ็บกระบอกตา 
ให้เมื่อยไปทั่วทั้งตัว เจ็บที่สะดือ 
ตลอดไปถึงอัณฑะ ให้คันองคชาต 
ให้เจ็บแสบร้อน แล้วแตกออกเป็น
น้ำเหลืองไหลซึมไป อนึ่ง กระทำให้เม็ดงอก 
ขึ้นในรูองคชาต เท่าผลพริกเทศ 
ครั้นนานเข้าดังยอดหูด ปัสสาวะก็เปลี่ยนไป
เป็นสีต่างๆ 4 ประการ กระทำให้อาเจียน 
เป็นน้ำลาย น้ำลายฝาด อสาทิยโรค รักษายากนัก



องคสูตร แบ่งออกได้ 4 จำพวก ดังนี้

1. องคสูตร เกิดในเดือน 5-6-7 (คิมหันตฤดู) นั้น 
เมื่อจะเกิด ให้ลูกอัณฑะข้างขวานั้งพองแดง 
ขึ้นดังผลตำลึงสุก ทำให้แสบร้อนเป็นกำลัง 
และโลหิตมักลงไปตามช่องปัสสาวะ 
ทำให้ปวดแสบปวดร้อน ไปตามเส้นเอ็นทั้งปวง 
เจ็บแต่สองราวข้าง ให้เสียดแทง อุจจาระผูก
เป็นพรรดึก ขัดปัสสาวะเดินไม่สะดวก 
โทษทั้งนั้เกิดเพื่อโลหิต 3 ส่วน 
วาโยระคน 2 ส่วน รักษายาก

2. องคสูตร เกิดในเดือน 8-9-10 (วสันตฤดู) นั้น 
มักให้เจ็บในอก และขาทั้ง 2 ข้าง 
ให้เจ็บเสียวตาม กระดูกสันหลังกระหวัด
มาราวนม และบ่าทั้งสองข้าง แล่นไปปลายเท้า
ทั้ง 2 ข้าง ให้ขบไปตอดดัง มดตะนอยต่อย 
ให้สะท้านร้อนสะท้านหนาว วิงเวียนหน้าตา 
ให้ชักหลังงอ เวลาปัสสาวะ ให้แสบร้อน
ในรูองคชาตไป จุกอุจจาระให้เป็น 
มูกเลือดออกมา โรคนี้เกิดขึ้นเพื่อวาโย 2 ส่วน 
เพื่อเสโทโลหิต 1 ส่วน บังเกิดแต่ลำไส้ออกมา 
ลักษณะดังนี้เป็น อสาทยโรค รักษายากนัก

3. องคสูตร เกิดในเดือน 11–12-1 (เหมันตฤดู) นั้น 
เมื่อบังเกิดขึ้นให้ปวดในรูองคชาต 
ปัสสาวะเล็ดออกมา ปัสสาวะหยดย้อย 
เจ็บบั่นเอว ทานอาหารไม่ได้ โทษเกิด
เพื่อเสมหะ 3 ส่วน โลหิต 2 ส่วน ครั้นนานเข้า
ทำให้ไส้ขาดออกมา ก็ถึงแก่ความตาย 
เป็นอติสัยโรครักษาไม่ได้เลย 
ถ้าจะแก้ ให้แก้แต่ยังอ่อนอยู่ 
ถ้าแก้ ให้แก้โลหิตเสียก่อน แล้วจึงแก้เสมหะ 
ต่อไปตามลำดับ

4. องคสูตร เกิดในเดือน 2-3-4 (สันนิปาตฤดู) 
เวลาเกิดขึ้นกระทำให้ผิวอัณฑะดำและบวม 
มีพิษแสบร้อนมาก อัณฑะฟกข้างหนึ่ง
มีพิษแสบร้อนมาก เจ็บตาข้างหนึ่ง 
ปวดศีรษะข้างหนึ่ง บังเกิดด้วยโลหิตสันนิบาต 
ปัสสาวะเป็นน้ำเหลือง โลหิตเจือออกมา 
แสบตามช่องปัสสาวะ ให้เสียดสองราวข้าง 
และหน้าอก ขึ้นมาตามเกลียวปัตคาด 
จับเป็นเวลา ทานอาหาร ไม่ได้ อาเจียนลมเปล่า
ต้นคอ คอแห้ง น้ำลายเหนียว 
ตกเสมหะโลหิตทางทวารหนักดุจเป็นบิด 
ร้อนนัยน์ตา สวิงสวาย กองสันนิปาต 
ฤดูทั้ง 3 มาประชุมพร้อมกัน กำหนดมิได้


ช้ำรั่ว ( เฉพาะสตรี) มี 4 จำพวก ดังนี้

1. เกิดเพราะสตรีคลอดบุตรแล้ว อยู่ไฟไม่ได้ 
เนื่องจากมดลูกไม่เข้าอู่หรือปวดขึ้นกลับ 
อยู่นาน จนกลาย เป็นหนองและโลหิต 
ราว 2 ถึง 3 เดือน ก็มีโลหิตจางๆ ไหลออกมา 
ปนกับน้ำเหลือง อันมีพิษไหล ถึงไหนก็มีผื่นขึ้น 
ทำให้ขอบทวารเป็นหัวขาวๆ 
แล้วแตกเปื่อยลามไป

         อาการ ทำให้ปวดแสบปวดร้อน
คันในช่องคลอดและขอบทวารเบา 
และปวดเสียวในมดลูก ปัสสาวะหยดย้อย

2. เกิดเพราะเสพเมถุนมากเกินประมาณ 
ปากทวารเปื่อยเน่า ได้รับความชอกช้ำ 
ภายในถึงปากมดลูก จึงเกิดเป็นน้ำหนอง 
น้ำเหลืองเน่าร้าย ไหลหยดย้อย 
ลุกลามกัดเนื้ออ่อนภายใน

3. เกิดเพราะเป็นฝีที่มดลูก มีลักษณะบวม 
ปัสสาวะเป็นน้ำเหลือง บางครั้ง
เป็นเหมือนน้ำคาวปลา

         อาการ ให้เจ็บปวดที่มดลูกเป็นกำลัง 
ขัดเสียวที่หัวเหน่า ปัสสาวะปวดแสบหยดย้อย 
อีกจำพวกหนึ่งเกิดกับสตรีรุ่นสาว 
ที่ยังไม่มีระดูประจำเดือน ร่วมเมถุนกับบุรุษ 
ถูกข่มขืนจากชายโดยหักหาญ 
ถึงโลหิตออกจากช่องทวาร มีอาการเจ็บปวด
แสบจนกลายเป็นแผลเน่าเปื่อย 
ขัดปัสสาวะ และหยดย้อย

4. เกิดเพราะสตรีชอบประกอบเมถุนกาม
ส่ำส่อนเป็นเนืองนิจ จึงเกิดโรคตามนาม 
สมมุติว่า อุปทุม ( กามโรค) ร้ายแรงนัก 
ให้มีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลออกมา 
ปัสสาวะกระปริดกระปรอย

         อาการ ให้ปวดแสบร้อนภายในช่องคลอด 
และช่องทวารเบา ปัสสาวะหยดย้อย 
เจ็บ ขัดถึง บริเวณหัวเหน่า


อุปทม ( อุปทังสโรค) แบ่งออกได้ 4 จำพวก ดังนี้

1. อุปทม เกิดเพราะการอักเสบ เนื่องด้วย
เสพเมถุนกับสตรีที่ยังไม่มีระดู ข่มขืน
 กระทำชำเรา ด้วยความกำหนัด 
สตรีเพศพรหมจารี บุรุษข่มเหงเอาด้วย
กำหนัดยินดี ซึ่งสตรีเป็นเพศพรหมจารี 
นั้น มิรู้รสกำหนัดยินดี ด้วยเปรียบประดุจ
ดังช้างสารตัวใหญ่เข้าไปอยู่ในโพรงอันแคบ
แล้วจะได้คิดว่าเจ็บปวดนั้นหามิได้ 
ครั้นออกจากช่องคลอดแล้ว กระทำให้
เจ็บปวดต่างๆ คือ ให้องค์กำเนิดช้ำนัก 
เดาะ เป็นหนอง เป็นโลหิตไหลออกมา
ตามช่องทวารเบาของตนเอง 
ได้รับความเจ็บปวดเวทนายิ่งนัก คือ 
ให้แสบร้อน ปัสสาวะไม่สะดวก 
ให้ลำช่องปัสสาวะบวมขึ้น แล้วก็เป็นหนอง
ไหลออกมาตามช่องทวารเบา

2. อุปทม เกิดเพราะเสพเมถุนกับหญิง
แพศยาเป็นกาลกิณีสำส่อน ด้วยกามตัณหา 
เป็นอาจิณ (หญิงสัญจรโรค หรือหญิงโสเภณี) 
เนื่องจากสตรีนั้นคบชู้สู่ชายมาก 
และช่องสังวาสนั้น ช้ำชอกด้วยกิเลส 
กามตัณหาเป็นนิจ ด้วยเหตุที่ทวารที่ชุ่มด้วย
ลามกตัณหานั้น ครั้นชายไปร่วมประเวณี
ด้วยสตรีนั้น ก็กระทำให้บังเกิดซึ่งโรคสมมุติว่า 
อุปทม โดยกำลังที่ชุ่มนั้นลำราบดุจน้ำใบไม้ 
น้ำหญ้าเน่า และมีผู้ไปย่ำน้ำนั้น ก็กัดเอา
เปื่อยพังไป เกิดทุกข์เวทนา เป็นอันมาก

3. อุปทม เกิดเพราะโทษดานและกระษัยกล่อน 
และกาฬมูตร มักเกิดขึ้นตั้งแต่สะดือลงไป
ถึงหัวเหน่า เรียกว่า โรคสำหรับบุรุษ บังเกิด
แก่บุคคลบริสุทธิ์มิได้มักมากในทาง
กามตัณหา คือสมณะ ภิกษุ สามเณร ภิษุณี 
พราหมณ์ทั้งหลาย อันมีศีลอันบริสุทธิ์ 
ไม่ได้เสพเมถุน กับมาตุคามเลย 
โรคนั้นก็บังเกิดขึ้น ด้วยโทษดานและ
กระษัยกล่อน ทำให้แสบร้อน ปัสสาวะมิได้ 
รับประทานยาถูกก็หายไป แล้วกลับเป็นอีก 
หลายครั้งหลายหน ครั้นนานเข้ามักกลาย 
เป็นหนอง บุพโพโลหิตไหลออกมา
ทางช่องทวารเบา ให้เจ็บปวดต่างๆ 
ผู้ใดเป็นดังกล่าวมานี้ เรียกว่า โรคบุรุษ 
จะได้เป็นอุปทม นั้นหามิได้

4. อุปทมเกิดเพราะนิ่ว บุรุษกลายเป็นคชราช 
มักเกิดที่ปลายองค์กำเนิด แล้วลามเข้าไป
ในช่องปัสสาวะ องค์กำเหนิดบวมขึ้น
แล้วแข็งเข้าเป็นดาน ถ้าสตรี ออกมา
แต่ทวารครรภ์เป็นดังดาก สมมุติว่า ดากโลหิต 
นั้นหามิได้ คือ อุปทังสโรค ดังกล่าวมานี้ 
นานเข้าก็ลามมาถึงหัวเหน่า กระทำให้โลหิต
เป็นลิ่ม เป็นแท่งออกมา บางทีปลายดากขาด
ออกมาเหม็นคาวนัก บางทีเป็นหนอง 
เป็นโลหิตออกมา ให้ปวดหัวเหน่า และท้องน้อย 
ดังจะขาดใจโรคดังกล่าวมานี้เป็น 
อติสัยโรค รักษามิได้ ถ้าจะรักษา ก็รักษายาก


ไส้ด้วน ( เป็นหนอง) มี 4 จำพวก ดังนี้
( เกิดจากภายนอกถึงภายใน)

1. เกิดจากชาย ชอบเสพเมถุนส่ำส่อน
 
จึงเกิดเป็นเม็ดทั้งข้างในและข้างนอก 
มีหนองออกมา หรือเป็นฝี 2 หน้าขา 
บางทีเป็นเม็ดขึ้นทั่วร่างกาย

          อาการ ให้เจ็บปวดยิ่งนัก ขัด ยอก 
ปวดตามกระดูก ขัดปัสสาวะ

2. เกิดจากชายเสพเมถุนกับสตรี 
ซึ่งกำลังมีประจำเดือน ทำให้เกิดเป็นเม็ด 
เป็นแผล ภายในบ้าง เป็นเม็ด เป็นผื่น เป็นวง 
เป็นแผ่นตามร่างกายภายนอกบ้าง

          อาการ ให้ปวดแสบ ขัดยอก 
และปวดปัสสาวะ

3. เกิดจากชายเสพเมถุนรุนแรง 
กระทบชอกช้ำภายใน มีลักษณะพึงสังเกต
คือ เป็นเม็ด เป็นแผ่น แล้วมีน้ำหนอง 
น้ำเหลืองไหลออกมา บ้างก็เป็มเม็ดที่องคชาต 
หรือตามร่างกายภายนอก

          อาการ ให้ปวดเจ็บยิ่งนัก บางทีขัด
ตามข้อ ปัสสาวะขัดปวด แสบ

4. เกิดจากชายเสพเมถุนกับสตรีแพศยาลามก 
เกิดเป็นฝี อุปทุม (กามโรค) เป็นเม็ดขึ้นที่
ปลายหรือรอบองคชาต ภายในช่องปัสสาวะ 
แล้วแตกเป็นโลหิต น้ำเหลือง น้ำหนองออกมา 
บางก็กลายเป็นฝี

         อาการ ทำพิษให้ปวดแสบปวดร้อน
ดังไฟลวก บาทีให้เน่าแต่ปลายองคชาต
 ลามเข้าภายในช่องปัสสาวะ 
ทำให้ปวดแสบขัดปัสสาวะ

         อีกนัยหนึ่งเรียกว่า ไส้ลาม มักเรียกคู่
กัน
กับไส้ด้วน มีลักษณะผุดขึ้นเป็นเม็ดเหมือนกัน 
แต่เม็ดนั้นมักเกิด จากภายในออกมาภายนอก 
ภายในลามถึงหัวเหน่า ท้องน้อย ผุดขึ้นดังเช่นฝี 
แตกเป็นหนองออกมาทางช่องปัสสาวะ 
ชายหญิงเหมือนกัน

         อาการ ให้ปวดมวนจุกเสียดแน่นในอก 
โดยน้ำเหลืองซึมเข้าไปในลำไส้ ให้อาเจียน
หรือท้องเดินเป็นมูกเลือด เบื่ออาหาร ปวดขัด
ตามข้อกระดูก ปัสสาวะปวดแสบยิ่งนัก


โทสัณฑะฆาต

          โทสัณฑฆาต ย่อมเกิดแต่ชายหญิงทั้งหลาย 
ถ้าสตรีเป็นด้วยโลหิตระดูแห้ง เป็นก้อน
เท่าฟองไข่ไก่ ติดกระดุกสันหลังข้างใน 
เจ็บหลังบิดตัวอยู่ประมาณ 14–15 วัน 
ครั้นนานเข้ามักเป็นลมจุกแดกดังจะขาดใจ 
ถ้ากินเผ็ดร้อนลงไปในโลหิตนั้นก็แห้งเข้า
จึงให้ชื่อว่า สันนิจโลหิต ทำให้ลงเป็นโลหิต 
เป็นลิ่มเป็นแท่งเป็นก้อนออกมา บางทีตกไป
ในทวารหนักทวารเบา เป็นดังน้ำชานหมากจางๆ 
ดุจดังดินสอพอง

         บุรุษครั้งแรกที่จะเกิดโรคนี้ย่อมเป็นไข้
พิษต่างๆ คือว่า ตกต้นไม้และหกล้ม ถูกตี 
กระทบกระแทกต่างๆ ถ้ามีดังนี้ ก็เป็นเพื่อโรค
อันถึงพิฆาต อำนาจอันทุบถองโบยตี ซึ่งทำให้
สาหัสชอกช้ำในอกในใจ และโลหิตนั้น 
ก็คุมกันเข้าเป็นก้อน ทำให้เจ็บร้อนเสียดแทงในอก 
และเสียดสันหลัง อาการต่างๆ สมมุติว่า
เป็นยอดภายใน ครั้นวางยาผิด โลหิตนั้น
ก็กระจายออกแล่นเข้าตามกระดูกสันหลัง
ก็ได้ชื่อวา สันนิจโลหิต ลงสู่ทวารหนัก ทวารเบา 
บุคคลทั้งหลายก็เรียกว่า อาสัณฑะฆาต 
เกิดว่าเป็นไข้อันพิฆาต บอบช้ำ 
ปีศาจก็พลอยสิงสู่ด้วย ถ้ารู้ไม่ทันก็ตาย

ตรีสัณฑะฆาต

          ตรีสัณฑะ เกิดกาฬขึ้นในดี ตับ หัวใจ 
เป็นเม็ดเท่าเมล็ดเท่าข้าวสารหัก 
บางทีขึ้นในไส้อ่อน ไส้แก่ ให้ปวด
  • ถ้าขึ้นในดี เจรจาด้วยผี พูดเพ้อไป 
    • อาการคลั่งเพ้อไปต่างๆ
  • ถ้าขึ้นที่ตับ ลงเป็นโลหิต แล้วเป็นผีเข้าสิง 
    • เข้าจำอยู่
  • ถ้าขึ้นไส้อ่อน ไส้แก่ ให้จุกเสียด 
    • ท้องเฟ้อ เป็นมาน
  • ถ้าขึ้นในปอด ทำให้กระหายน้ำเป็นอันมาก
  • ถ้าขึ้นในหัวใจ เจรจามิได้ แน่นิ่งไป
       ถ้าบุคคลใด เป็นดังกล่าวมาได้ ึ7-8 วัน 
โลหิตแตกซ่านไปในทวารทั้ง 9 เรียกว่า 
ลักปิด เป็นต้น แห่งสัณฑะฆาต ก็เป็นกรรม
ของผู้นั้น ถ้าแก้มิคลาย อันว่า สัณฑะฆาต 
เกิดแก่บุคคลผู้ใด ก็ถึงแก่ความตาย

ยาที่ใช้รักษาอาการ มีดังนี้

1. ยาแก้น้ำปัสสาวะขาวข้นดังน้ำข้าวเช็ด

  • การบูร 
  • เทียนดำ 
  • ผลเอ็น 
  • อำพัน 
  • หัวแห้วหมู 
  • ขิงแห้ง 
ยาทั้งนี้หนักสิ่งละเสมอภาค
วิธีปรุงยา บดเป็นผง 
รับประทาน ครั้งละ 1 ช้อนชา 
วันละ 2 เวลา ก่อนอาหาร เช้า-เย็น
ละลายน้ำสุกเป็นน้ำกระสาย

2. ยาแก้น้ำปัสสาวะสีเหลืองดังน้ำขมิ้น

  • ลูกสมอไทย 
  • มหาหิงคุ์ 
  • รากเจตมูลเพลิงแดง 
  • สารส้ม 
  • สุพรรณถันแดง 
หนักสิ่งละ 1 สลึง
  • เทียนดำ หนัก 1 บาท 
  • ดอกคำไทย หนัก 2 บาท
วิธีปรุงยา บดเป็นผง 
รับประทาน ครั้งละ ครึ่งช้อนชา 
วันละ 2 เวลา ก่อนอาหาร เช้า-เย็น
ละลายน้ำมะนาว เป็นกระสายยา

3. ยาแก้น้ำปัสสาวะสีแดงดังน้ำฝางต้ม

  • หัวแห้วหมู 
  • รากมะตูม 
  • เทียนดำ 
  • รากเสนียด 
  • ใบสะเดา 
  • รากอังกาบ 
  • ผลเอ็น 
  • โกฐสอ
  •  เกลือสินเธาว์ 
หนักสิ่งละ 2 บาท

วิธีปรุงยา บดเป็นผง 
รับประทาน วันละ 2 เวลา ก่อนอาหาร 
เช้า – เย็น ละลายน้ำอ้อยแดง เป็นน้ำกระสายยา

4. ยาแก้น้ำปัสสาวะเป็นสีดำดุจน้ำครามหรือน้ำครำ

  • รากย่านาง 
  • เถาวัลย์เปรียง 
  • รากกระทุงหมาบ้า 
  • ฝางเสน 
  • หัวแห้วหมู 
  • หญ้าชันกาด 
  • แก่นขี้เหล็ก
  • รากตะไคร้หางนาค 
  • ขมิ้นอ้อย 
  • ไพล 
  • รากหนามรอบตัว 
  • รากหวายขม 
หนักสิ่งละเสมอภาค

วิธีปรุงยา ต้ม
รับประทาน ต้ม 3 เอา 1 รับประทาน
ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ 3 เวลาก่อนอาหาร 
ละลายน้ำสุกเป็นน้ำกระสายยา
 

การอักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน

          อวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน ได้แก่ 
มดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ เยื่อบุช่องท้อง 
และลำไส้ใหญ่บางส่วนการอักเสบติดเชื้อ
ของอวัยวะเหล่านี้ มักจะเริ่มต้นจากการอักเสบ
ติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์ตอนล่าง 
ตั้งแต่ช่องคลอดแล้ว ลุกลามเข้าไป
ในโพรงมดลูก เข้าสู่ท่อนำไข่ แต่บางครั้ง
อาจเกิดจากเชื้อผ่านไปทางกระแสเลือดก็ได้ 
เชื้อที่พบว่าเป็นสาเหตุบ่อย คือ เชื้อหนองใน 
ถ้าการอักเสบรุนแรงมากและไม่ได้รับการรักษา 
อาจเกิดเป็นฝีหนอง ซึ่งถ้าแตกออก
จะทำให้การอักเสบกระจายไปทั่วอุ้งเชิงกราน
และช่องท้อง อาจเกิดอันตรายถึงเสียชีวิตได้
          อาการ มักเริ่มด้วยเจ็บบริเวณท้องน้อย 
มีไข้ มีตกขาวผิดปกติ และอาจมีเลือดออก 
ถ้าตรวจภายในจะพบว่ากดเจ็บบริเวณที่มีการอักเสบ
           การรักษา ในระยะเริ่มแรก ได้แก่ 
การให้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีที่รักษาด้วยยา
ปฏิชีวนะแล้ว อาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแตก
ของฝีหนอง จำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัดร่วมด้วย








กามโรค

           กามโรค หมายถึงโรคที่ติดต่อโดย
การร่วมเพศและมักก่อให้เกิดพยาธิสภาพ
ที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์เป็นส่วนใหญ่
แต่เดิม กามโรคหมายถึง กลุ่มโรคเพียง ๕ โรคคือ
ซิฟิลิส หนองใน แผลริมอ่อน โรคของต่อมน้ำเหลือง
และโรคเนื้อตายที่บริเวณขาหนีบ ปัจจุบันพบว่า
ยังมีโรคอีกหลายโรคที่ติดต่อโดยการร่วมเพศ
แต่ไม่ใช่กามโรคที่แท้จริงรวมอยู่ในกลุ่มโรคนี้ด้วย
คือ หนองในเทียม (ใช้เฉพาะในชาย) หูดหงอนไก่
เชื้อรา พยาธิในช่องคลอด เริม หูดข้าวสุก
หิดที่อวัยวะสืบพันธุ์ ตัวโลน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้
ในปัจจุบันจึงเปลี่ยนชื่อกามโรคว่า
"โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์"
(sexuallytransmitted diseases)



          ซิฟิลิส เกิดจากเชื้อทริโปนีมาพอลลิดุม
(tryponema pollidum) มีระยะฟักตัว
โดยเฉลี่ย10-30 วัน
         อาการ ในระยะแรก จะมีแผลเกิดขึ้น
เรียกว่า แผลริมแข็ง มักเป็นที่บริเวณอวัยวะ
สืบพันธุ์ภายนอกลักษณะแผลมีขอบนูนสูงขึ้น
ก้นแผลสะอาดเรียบ ถูกต้องไม่เจ็บ
ระยะนี้หากไม่รักษาก็จะหายได้เอง
ภายใน 3-8 สัปดาห์
          อาการ ระยะที่ 2 หลังจากแผลริมแข็ง
หายราว 3 สัปดาห์ จะมีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ
เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดเมื่อยและ
ปวดตามข้อ มีผื่นขึ้นตามบริเวณผิวหนัง
เช่น แขน ขา ลำตัว ไม่คันและไม่เจ็บปวด
อาจเป็นอยู่ไม่นานวัน หรืออาจนานหลายเดือนก็ได้
ส่วนใหญ่จะหายไปราว 4-8 สัปดาห์ ในระยะนี้
อาจมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขึ้นมา คล้ายยุงกัด
แต่มีเนื้อยุ่ยๆ คลุม บริเวณนี้แพร่เชื้อได้มาก
อาจมีต่อมน้ำเหลืองโต หรือผมร่วงได้
          ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษา เมื่ออาการทุกอย่างหาย
ก็จะเข้าสู่ระยะแฝง ซึ่งเป็นระยะที่จะไม่มีอาการ
อะไรทั้งสิ้น แต่จะทราบได้โดยการตรวจ
พบน้ำเหลืองให้ผลบวก
          อาการ ในระยะที่ 3 พบว่า 1 ใน 4 ของ
ระยะแฝงจะเปลี่ยนเป็นระยะที่ 3 ซึ่งต้องใช้
เวลานาน โดยจะไปเกิดเป็นแผลและเนื้อตาย
ในหัวใจ หรือระบบประสาท ทำให้เกิดอาการ
คล้ายคนเป็นโรคจิต
    การวินิจฉัย โรคนี้ ส่วนใหญ่อาศัยจากการ
ตรวจน้ำเหลือง นอกจากนี้ อาจจะขูดบริเวณ
แผลหรือผื่นหรือเนื้อนูน มาตรวจด้วยกล้องพิเศษ
และอาจต้องเจาะน้ำไขสันหลังมาตรวจด้วย
ในบางรายหญิงมีครรภ์ที่เป็นซิฟิลิสต้อง
ได้รับการรักษาจากแพทย์ เพราะซิฟิลิส
จะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เช่น ทำให้แท้ง
ทารกตายในครรภ์ หรือเป็นฟิซิลิสแต่กำเนิด



          หนองใน เกิดจากเชื้อไนซ์ซีเรียโกโนร์เรีย
มีระยะฟักตัวประมาณ 3-5 วัน
          อาการ มักเริ่มด้วยปัสสาวะแสบ ขัด
มีตกขาวถ้าไม่ได้รับการรักษา โรคนี้อาจลุกลาม
เข้าไปในโพรงมดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่
ทำให้ท่อนำไข่ตัน และเป็นหมันในที่สุด


          แผลริมอ่อน เกิดจากเชื้อฮีโมฟิลัสดูเครยี
(hemophilus ducreyi) มีระยะฟักตัวประมาณ 2-5 วัน
          อาการ อาจพบได้ใน 2 ลักษณะ คือ
               (1) แผล มักพบบริเวณฝีเย็บ
และที่แคมเล็กเริ่มคัน มีเม็ดพอง และอักเสบ
ต่อมาเป็นหนองแตกออก มีอาการเจ็บ
ส่วนใหญ่เกิดหลายแผล ขอบแผลไม่ชัดเจน
ถูกต้องเจ็บ
               (2) ฝีมะม่วง ถ้าไม่ได้รับการรักษา
หรือรักษาไม่เพียงพอ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ
จะโตเป็นหนองได้ราว 5-8 วันหลังมีแผล

           กามโรคที่ต่อมน้ำเหลือง เกิดจาก
เชื้อคลาไมเดีย (chlamydia) มีระยะฟักตัว
1-4 สัปดาห์ แต่โดยปกติประมาณ 7-12 วัน
            อาการจะเริ่มด้วยมีแผลที่อวัยวะเพศ
แล้วมีไข้อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร
ต่อมาต่อมน้ำเหลืองโตที่บริเวณขาหนีบ
แล้วเป็นหนองแตกออกมาเรียกว่า ฝีมะม่วง
เช่นเดียวกับแผลริมอ่อน อาการต่อมน้ำเหลืองโตนี้
ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นหลังจากแผลหายไปแล้ว

           กามโรคเนื้อตายที่บริเวณขาหนีบ
เกิดจากเชื้อโดโนแวนแกรนูโลมาติส
(donovan granulomatis) มีระยะฟักตัวไม่แน่นอน
            อาการในระยะแรกจะพบแผลเป็นตุ่ม
อักเสบไม่เจ็บ ต่อมาแตกเป็นแผลกลมนูนยุ่ย
เลือดออกง่าย



           หูดหงอนไก่ เป็นโรคที่พบบ่อย
ในวัยเจริญพันธุ์ เกิดจากเชื้อไวรัสปาปิลโลมา
(papilloma viruses)มีลักษณะคล้ายหงอนไก่
หรือดอกกะหล่ำ เกิดบริเวณอวัยวะเพศ
และโตขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อพบร่วมกับการตั้งครรภ์
รักษาได้โดยยา หรือจี้ด้วยไฟฟ้า

            เริม เกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์
พบได้บ่อย มักมีอาการ 4-5 วันหลังการร่วมเพศ
โดยเกิดเป็นเม็ดใสๆ แล้วแตกออกเป็นแผลเล็กๆ
หลายแผลเจ็บ ปวดแสบปวดร้อน และมีอาการอักเสบ
เป็นอยู่ประมาณ 10 วันก็จะหายไป อาจมีเชื้อบัคเตรี
(แบคทีเรีย) แทรกได้และอาจมีต่อมน้ำเหลืองโต
เล็กน้อยเป็นแล้วมักเป็นอีก





 


 





                               

การอักเสบ และโรคติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์

1. ตกขาว

          ตกขาว หรือเรียกตามชาวบ้านทั่วไปว่า"มุตกิด
เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดในโรคเฉพาะของหญิง 
หมายถึง สิ่งที่ขับถ่ายออกมาทางช่องคลอดที่
ไม่ใช่เลือด ตกขาวที่ออกมาข้างนอกนั้น 
อาจเป็นลักษณะปกติ แต่มีจำนวนมากกว่าธรรมดา 
หรืออาจเป็นตกขาวที่ผิดปกติมาจากส่วนหนึ่ง
ส่วนใดของอวัยวะสืบพันธุ์ก็ได้

          ตกขาวปกติ มีลักษณะสีขาวข้น คล้ายแป้งเปียก 
หรือเป็นมูกขาวใส มีจำนวนเล็กน้อยพอชุ่ม 
มีกลิ่นจำเพาะ มีภาวะเป็นกรดอ่อนๆ ไม่คัน 
อาจพบได้มากในภาวะต่อไปนี้

1. ระยะหลังและก่อนมีประจำเดือน
2. ระยะไข่ตก
3. ระยะตั้งครรภ์
4. ระยะที่มีอารมณ์กำหนัด
5. ระยะที่มีความวิตกกังวลมาก

          ตกขาวผิดปกติ เป็นตกขาวที่
มีจำนวนมากกว่าธรรมดา มีสีคล้ายหนอง 
เป็นฟอง หรือเป็นก้อนๆ มักมีกลิ่น 
หรือมีอาการเจ็บและคันบริเวณช่องคลอดร่วมด้วย 
อาจมีสาเหตุจาก

1. มีวัตถุแปลกปลอมในช่องคลอด

ทำให้ผนังช่องคลอดระคายเคือง มีตกขาว
เพิ่มมากขึ้น และมักมีกลิ่นเหม็น ในเด็กอาจพบ
เป็นเมล็ดผลไม้ เศษลูกโป่ง เศษกระดาษ 
ในผู้ใหญ่อาจพบสำลี เศษยาง ตลอดจนถุงยางอนามัย 
เมื่อเอาวัตถุแปลกปลอมเหล่านี้ออก 
ก็จะหายเป็นปกติได้

2. เกิดจากการติดเชื้อ  ได้แก่

          (1) เชื้อพยาธิ ซึ่งเป็นพวกโปรโตซัวชนิดหนึ่ง 
เรียกว่า ทริโคโมนัสวาจินาลิส(trichomonasvaginalis) 
ลักษณะเหมือนใบไม้ มีหนวดข้างหน้าสี่เส้น 
เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา อาการที่ผู้ป่วย
มาพบแพทย์คือ ตกขาวมากกว่าธรรมดา 
สีเหลืองปนเขียว เป็นฟองมีกลิ่นเหม็น มีอาการคัน 
เป็นผื่นที่อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกตรงบริเวณที่
เปื้อนตกขาว ลักษณะการอักเสบที่ปากมดลูก 
และผนังช่องคลอด จะมองเห็นเป็นจุดแดงๆ 
คล้ายผลสตรอเบอรี่ 


         (1) เชื้อรา พบได้บ่อยรองลงมา เชื้อราที่พบ 
ได้แก่ แคนดิดาอัลบิแกน (candida albigans) 
อาการที่ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์ คือ คันในช่องคลอด 
และมีตกขาวมากกว่าปกติ บางทีพบเป็นก้อน
คล้ายฝ้าของน้ำนมต้มสุกเป็นแผ่น

        (3) เชื้อหนองใน โรคหนองในเป็นกามโรค
ชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อ ไนซ์ซีเรียโกโนร์เรีย
 (neisseria gonorrhea) มีลักษณะเป็นรูปไตคู่
ภายในเม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยมักมีอาการ
ถ่ายปัสสาวะแสบ ขัด ตกขาวมีลักษณะเหมือนหนอง 
มีกลิ่นเหม็น การอักเสบทำให้มีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ 
ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษา เชื้อนี้อาจลุกลามเข้าไป
ในโพรงมดลูก ท่อนำไข่ และถึงช่องท้องได้

        (4) เชื้อไวรัส  ส่วนใหญ่เป็นเชื้อเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์
(herpes simplex) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม
 มักมีการติดเชื้อที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ร่วมด้วย จะเห็นเป็นเม็ดใสขึ้นเป็นกลุ่ม มีอาการ
ปวดแสบ ปวดร้อน และระคายเคืองเล็กน้อย

       (5) ติดเชื้อบัคเตรีชนิดอื่นๆ ช่น สตาฟีโลค็อกคัส (staphylococcus) สเตรพโตค็อกคัส(streptococcus) 
เป็นต้น ทั้งนี้อาจพบเชื้อต้นเหตุได้มากกว่า 1 ชนิด

       (6) เชื้อวัณโรค เชื้อชนิดนี้พบน้อยมาก


3. เกิดจากเนื้องอก

        เนื้องอกของอวัยวะสืบพันธุ์หญิงไม่ว่าจะเป็น
เนื้องอกไม่ร้ายแรง หรือมะเร็ง ก็อาจทำให้เกิด
อาการตกขาวได้

----------------------------------------

ศูนย์การแพทย์แผนไทยภูเก็ต

https://phuketthaitraditionalmedicinecenter.blogspot.com/2013/03/blog-post.html

----------------------------------------

อ้างอิง  ตำราแพทย์แผนโบราณ 
สาขาเวชกรรม เล่ม 2
กองกองประกอบโรคศิลปะ












No comments:

Post a Comment